ป้าย shelf talker ที่ดี วางตำแหน่งไหนถึงจะเวิร์ก?

ป้าย shelf talker ที่ดี วางตำแหน่งไหนถึงจะเวิร์ก?

ป้าย shelf talker ที่ดี วางตำแหน่งไหนถึงจะเวิร์ก?

อย่างที่ใครหลายคนทราบว่า ป้าย shelf talker คือ ป้ายขนาดเล็กที่ติดอยู่บริเวณชั้นวางสินค้าเพื่อดึงความสนใจและสื่อสารข้อความสำคัญอย่างกระชับ ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชัน จุดขาย หรือรีวิวลูกค้า การใช้ shelf talker ให้อย่างมีหลักการ ไม่เพียงเพิ่มโอกาสในการหยิบสินค้า แต่ยังสามารถเปลี่ยนใจลูกค้าที่ไม่เคยตั้งใจจะซื้อ ให้กลายเป็นคนตัดสินใจในจุดขายได้ทันที

แต่คำถามสำคัญคือ… จะวาง shelf talker ตรงไหนถึงจะเห็นผลจริง?

เพราะแม้ข้อความจะดี งานพิมพ์จะเป๊ะ ดีไซน์จะสะดุดตา แต่ถ้าติดป้ายผิดตำแหน่ง เช่น ต่ำเกินไป สูงเกินไป หรือถูกบดบัง ความพยายามทั้งหมดอาจกลายเป็นสิ่งที่ลูกค้า ไม่เห็น ฉะนั้นการวางตำแหน่งของป้าย shelf talker จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวก แต่เป็นเรื่องของกลยุทธ์ที่ส่งผลโดยตรงต่อยอดขาย

บทความนี้จะพาคุณสำรวจ 4 จุดสำคัญในการติดป้าย shelf talker ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการมอง การหยิบ และการตัดสินใจของลูกค้า พร้อมแนะนำเทคนิคการวางป้ายให้ได้ผลจริงในแต่ละระดับชั้นของชั้นวางสินค้า เพื่อให้ป้ายเล็ก ๆ นี้ทำหน้าที่แทนทีมขายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

4 จุดสำคัญในการติดป้าย shelf talker

4 จุดสำคัญในการติดป้าย shelf talker

วางระดับสายตา เห็นก่อน ตัดสินใจก่อน

การตลาด ณ จุดขาย หรือ (Point of Purchase) หนึ่งในกฎทองที่ยังยืนหนึ่งและยังใช้ได้เสมอคือ ถ้าต้องการให้ลูกค้าเห็นอะไร ให้วางไว้ที่ระดับสายตา และนั่นก็รวมถึง ป้ายโฆษณา อย่าง shelf talker ด้วย เพราะสายตาของลูกค้าคือด่านแรกที่สินค้าจะได้มีโอกาสเข้าไปในกระบวนการตัดสินใจ ดังนั้น หากคุณสามารถวาง shelf talker ให้อยู่ในตำแหน่งที่ลูกค้ามองเป็นลำดับแรก โอกาสที่เขาจะหยุดมอง อ่าน และหยิบสินค้านั้นก็จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ระดับสายตาโดยทั่วไปของผู้ใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 140–160 เซนติเมตรจากพื้น ดังนั้นชั้นวางที่อยู่ในระดับนี้จึงกลายเป็น “ทำเลทอง” ที่ควรติดตั้ง shelf talker ให้โดดเด่นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ต้องการโปรโมทเป็นพิเศษ หรือสินค้าที่เปิดตัวใหม่ การใช้ shelf talker ในระดับสายตาจะช่วยให้ลูกค้าหยุดมองได้โดยธรรมชาติ ไม่ต้องเหลือบขึ้นหรือก้มลงให้เมื่อย

เทคนิคในการวางป้าย shelf talker ให้อยู่ในตำแหน่งสายตาไม่ใช่แค่การวางอยู่ในตำแหน่ง สูง เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการติด เยื้องมาทางด้านหน้า ของสินค้าเล็กน้อย เพื่อให้ข้อความบนป้ายถูกโฟกัสก่อนฉลากของสินค้า นอกจากนี้ การใช้สีที่คอนทราสต์กับชั้นวาง และการใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ อ่านง่าย ก็ยิ่งเสริมพลังให้ป้ายโดดเด่นขึ้นในตำแหน่งนี้

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมคำนึงถึง กลุ่มเป้าหมาย ของสินค้า เช่น ถ้าเป็นของเด็ก ชั้นวางระดับต่ำอาจกลายเป็น ระดับสายตา สำหรับลูกค้าเป้าหมายตัวจริง การวาง shelf talker ให้ตรงกับระดับการมองของลูกค้าแต่ละกลุ่มจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้

เยื้องนิด ยื่นหน่อย ดึงความสนใจได้มากกว่า

แม้การวางป้าย shelf talker ไว้ในระดับสายตานับว่าเป็นจุดที่ดีที่สุด แต่ถ้าติดแบบแบนราบไปกับขอบชั้นวาง ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะในสถานการณ์จริง ชั้นวางหนึ่งแถวอาจมีสินค้าเรียงติดกันหลายแบรนด์ และบางครั้งทุกแบรนด์ต่างก็ใช้ shelf talker เหมือนกันหมด การวางป้ายให้ เยื้องออกมา หรือ ยื่นเล็กน้อย จึงกลายเป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้ป้ายของคุณ เป็นแกะดำที่โผล่ออกมาจากฝูง และได้รับการมองเห็นก่อน

โดยเทคนิคการติด shelf talker แบบยื่นออกมาจากขอบชั้นวาง เรียกอีกอย่างว่า “winged placement” ซึ่งหมายถึงการให้ป้ายมีลักษณะเหมือน ปีก เล็ก ๆ ยื่นออกจากแนวชั้นปกติประมาณ 1–2 เซนติเมตร การยื่นออกมาเพียงเล็กน้อยนี้จะทำให้ shelf talker มีมิติและช่วยสร้างความแตกต่างจากป้ายที่ติดราบไปกับขอบชั้น จึงดึงสายตาลูกค้าได้ในทันที

สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ ความแข็งแรงของวัสดุ เพราะหาก shelf talker ยื่นออกมา แต่บางหรืออ่อนเกินไป อาจเกิดการพับหรือย้วยเมื่อถูกลมหรือกระแทกจากการเดินผ่าน โดยวัสดุที่แนะนำคือพลาสติก PET, PVC, หรือกระดาษแข็งเคลือบที่มีความยืดหยุ่นพอสมควร รวมถึงควรมีการไดคัตหรือพับในจุดที่ทำให้ป้ายตั้งอยู่ในองศาที่เหมาะสม ไม่ลู่ตามแรงโน้มถ่วง

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ มุมการมอง เพราะถ้าป้ายยื่นออกมาเพียงด้านบนหรือด้านล่าง ลูกค้าที่เดินผ่านในระยะใกล้จะมีโอกาสเห็นได้จากด้านข้างมากขึ้น เทียบกับป้ายที่ติดแบนซึ่งต้องยืนอยู่ตรงหน้าถึงจะเห็นชัด ดังนั้น ป้ายแบบเยื้องหรือยื่นจึงสามารถ ขยายมุมมอง ได้ดี และเหมาะกับร้านที่มีพื้นที่จำกัดหรือชั้นวางแน่น ๆ

 

มุมซ้ายหรือขวา? เลือกให้เหมาะกับจังหวะการมอง

ในการติดป้าย shelf talker การเลือกฝั่งซ้ายหรือขวาของชั้นวางสินค้า อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่จริง ๆ แล้ว ทิศทางการมอง ของลูกค้า มีผลต่อโอกาสในการมองเห็นป้ายอย่างมาก ยิ่งในร้านที่มีลูกค้าหลายประเภท การเลือกวางป้ายให้ตรงกับจังหวะการเคลื่อนไหวและพฤติกรรมการมอง จะยิ่งช่วยให้ shelf talker สะดุดตา และได้ผลดียิ่งขึ้น

โดยปกติแล้ว ลูกค้ามักเริ่มเดินและมองสินค้าจาก ด้านซ้ายไปขวา ตามธรรมชาติของการอ่านหนังสือภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ นั่นหมายความว่า ป้ายโฆษณา shelf talker ที่อยู่ ด้านขวาของสินค้า หรือ ยื่นออกมาทางขวามือ จะมีโอกาสถูกสังเกตก่อน

แต่ถ้าสินค้าถูกวางไว้ริมซ้ายสุดของชั้น หรืออยู่ในตำแหน่งที่ลูกค้าเข้าจากทางขวาแล้วหมุนตัวไปด้านซ้าย การติด shelf talker ทางฝั่งซ้ายของสินค้าอาจให้ผลลัพธ์ดีกว่า เพราะอยู่ในแนวสายตาพอดี จุดนี้ขึ้นอยู่กับ ทิศทางการเดิน และ มุมเข้าใกล้ชั้นวาง ของลูกค้าเป็นหลัก

เทคนิคง่าย ๆ ที่ใช้ได้ในทุกสถานการณ์คือ ทดลองสลับฝั่ง และสังเกตผล เช่น ติด shelf talker ด้านขวาในสัปดาห์แรก และเปลี่ยนเป็นด้านซ้ายในสัปดาห์ถัดไป พร้อมเก็บข้อมูลยอดขายหรือพฤติกรรมการหยิบสินค้า วิธีนี้ช่วยให้แบรนด์รู้ว่าลูกค้าของตัวเอง ตอบสนองต่อป้ายฝั่งไหน ได้ดีที่สุด

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเลือกฝั่งซ้ายหรือขวา สิ่งสำคัญคือ ป้าย shelf talker ต้องไม่ถูกบังด้วยสินค้าใกล้เคียง และต้องอยู่ในตำแหน่งที่ ตัดกับสายตา ไม่ใช่กลืนหายไปกับบรรยากาศร้าน หากเข้าใจมุมมองของลูกค้าอย่างแท้จริง การเลือกฝั่งที่ใช่ จะช่วยให้ป้ายเล็ก ๆ นี้ กลายเป็นตัวผลักดันการขายที่ทรงพลังได้ทันที

 

ชั้นล่างก็สะดุดตาได้ ถ้าวาง ป้าย shelf talker ให้เป็น

หลายคนมองข้ามการใช้ ป้ายโฆษณา shelf talker ที่อยู่ชั้นล่างของชั้นวางสินค้า เพราะคิดว่า ไม่มีใครกวาดสายตามองลงไปขนาดนั้น แต่ความจริงแล้ว ชั้นล่างไม่ใช่พื้นที่ที่ไร้ค่า ถ้าคุณเข้าใจการวางป้ายอย่างถูกวิธี ก็สามารถเปลี่ยนจุดที่ถูกมองข้ามให้กลายเป็นจุดขายที่น่าดึงดูดได้

โดยหลักสำคัญคือ การทำให้ shelf talker กระตุกสายตาให้หันลงมามอง โดยใช้การออกแบบที่เล่นกับองค์ประกอบสะดุดตา เช่น สีที่สว่างกว่าชั้นอื่น ฟอนต์ขนาดใหญ่ หรือป้ายที่ใช้วัสดุเงาสะท้อนเล็กน้อย เมื่อลูกค้าเดินผ่าน แสงที่กระทบกับป้ายจะช่วยเรียกความสนใจแบบไม่ตั้งใจได้ดี

นอกจากนี้ การวางสินค้าให้ขนานไปกับมุมเดินเข้า แล้ววาง shelf talker ไว้ในแนวเฉียงก็ช่วยเพิ่มโอกาสการมองเห็นได้มาก เพราะลูกค้าที่เดินเข้าร้านมักจะกวาดตามองแนวเฉียงมากกว่าก้มลงตรง ๆ นี่คือ เทคนิคหลอกมุมสายตา ที่แบรนด์ใหญ่ใช้กันอยู่บ่อย ๆ

อีกสิ่งที่ควรทำคือ อย่าใส่ข้อความเยอะใน shelf talker บริเวณชั้นล่าง ให้ใช้คำสั้น ชัด เช่น “ลด 50%”, “สินค้าขายดี”, “1 แถม 1” หรือใส่ลูกศรชี้ขึ้น พร้อมไฮไลต์สินค้าไปในตัว เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าใจได้ทันทีโดยไม่ต้องก้มอ่านนาน

สรุปคือ ชั้นล่างไม่ใช่จุดที่ไร้ความสำคัญ แต่คือโอกาสที่แบรนด์อื่นอาจมองข้าม ถ้าคุณใช้ป้าย shelf talker อย่างชาญฉลาด วางให้เด่น และสื่อสารให้เร็วตรงประเด็น จุดที่ไม่มีใครสนใจอาจกลายเป็นทำเลทองสำหรับแบรนด์ของคุณได้เช่นกัน

 

สรุป

การใช้ป้าย shelf talker ให้ได้ประสิทธิภาพ ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ดีไซน์หรือข้อความโดนใจเท่านั้น แต่ ตำแหน่งที่วางป้าย คือหัวใจสำคัญที่ส่งผลต่อการมองเห็นและการตัดสินใจซื้อของลูกค้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการวางป้ายในระดับสายตา การติดแบบยื่นออกจากชั้น การเลือกด้านซ้ายหรือขวา หรือแม้แต่การเว้นระยะให้พอดีกับมุมมอง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ทำให้ shelf talker ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์และเพิ่มยอดขายได้จริง

หากต้องการสั่งพิมพ์ shelf talker ที่ได้มาตรฐาน สีคมชัด เสร็จตรงเวลา

ต้องเลือกใช้บริการจาก Europrinting

เพราะเราเชี่ยวชาญด้านงานพิมพ์ทุกชนิด ด้วยระบบการพิมพ์ออฟเซ็ท พร้อมกับประสบการณ์มากกว่า 25 ปี ที่จะคอยดูแล แนะนำ และมอบประสบการณ์ดี ๆ ให้กับทางลูกค้าผ่านงานที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ และเสร็จตรงเวลา  อีกทั้งเรายังใส่ใจทุกรายละเอียดในทุก ๆ ขั้นตอน โดยจะมีการตรวจสอบคุณภาพงานอย่างเข้มงวดก่อนที่จะส่งงานให้กับลูกค้า ซึ่งทางลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่างานที่ออกมาจะได้มาตรฐานและตรงความต้องการของลูกค้ามากที่สุด โดยไม่ว่างานพิมพ์ shelf talker จะมีการออกแบบและจัดวางทั้งลวดลาย สี รูปทรง หรือข้อความตัวอักษร มาในรูปแบบไหน ทางเรารับรองว่างานที่ได้ออกมานั้นจะตรงกับแบบที่ท่านต้องการแน่นอน

”เราไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาคุณภาพของสินค้าและบริการ พร้อมที่จะดูแล แนะนำ และมอบประสบการณ์ดี ๆ ให้กับทุกคน”

 

สามารถติดต่อสอบถาม Euro printing ทางช่องทางอื่นได้ที่

Facebook : Euro printing

Instagram : Euro.printing

Line : @Europrinting

Call : 065-359-3959

ติดต่อเรา